ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขได้ เนื่องจากสามารถสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติมากขึ้น และยังสามารถสร้างข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วยที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยได้อีกด้วย ในการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) ที่มีเทคโนโลยี AI ทำให้การสแกนภาพเร็วขึ้นถึง 3 เท่าจากระยะเวลาเดิม จึงช่วยประหยัดเวลาในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในการตรวจแต่ละครั้งได้ ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยในท้ายที่สุด นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี AI ในระบบอัลตร้าซาวนด์ ยังช่วยให้การตรวจวินิจฉัยเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการทำซ้ำๆ หากลองจินตนาการว่ากระบวนการตรวจโดยปกติใช้ประมาณ 30 นาที แต่เมื่อมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย ทำให้เหลือเวลาตรวจเพียงแค่ 10 นาที นั่นหมายถึงว่าเราสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 20 นาที ผู้ป่วยจึงได้รับการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการรอรับการรักษา ส่งผลให้สามารถตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยในแต่ละวันได้มากขึ้น
เอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อลดระยะเวลาการสแกนให้น้อยกว่า 5 นาที แต่ยังคงได้ภาพจากการสแกนที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ป่วยหรืออวัยวะภายในจะมีการขยับก็ตาม โดยการบูรณาการในครั้งนี้ได้มีการแสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นให้กับโรงพยาบาลทั่วโลกแล้ว
“เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขภาวะหมดไฟให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้ด้วยการแบ่งเบาภาระงาน ส่งผลให้ความพึงพอใจและอัตราการรักษาบุคลากรไว้เพิ่มขึ้นด้วย เทคโนโลยี AI ยังสามารถจัดการกับการทำงานแบบเดิมๆ ที่ต้องใช้กำลังคนมาก ให้เป็นการทำงานโดยอัตโนมัติและยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดแรงกดดันให้กับบุคลากร เมื่อภาระงานอื่นๆ ลดลงบุคลากรทางการแพทย์ก็จะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น ดังนั้นการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยี AI จึงสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษา สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ป่วย และให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพโดยรวมที่ดีได้” นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติม
ปัญญาประดิษฐ์ ตัวช่วยสำหรับระบบสาธารณสุขสีเขียวในประเทศไทยนอกจากปรับปรุงกระบวนการดูแลรักษาผู้ป่วยและเพิ่มประสิทธิภาพในสถานที่ทำงานแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างวงการสาธารณสุขที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการวิเคราะห์แนวโน้มล่วงหน้าเทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์แนวโน้มและแจ้งเตือนล่วงหน้า เมื่อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์นั้นถึงเวลาที่ต้องได้รับการซ่อมบำรุงก่อนที่จะเสียหาย และช่วยให้วิศวกรสามารถตรวจสอบ ประเมิน และเข้าแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีจากการทำงานในระยะไกล กระบวนการนี้สร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการช่วยขยายอายุการใช้งานให้กับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยลดการทิ้งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เสียให้น้อยลง เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและสะอาด ซึ่งช่วยสร้างสุขภาพที่ดี และอาจลดผลกระทบรวมถึงความรุนแรงของโรคที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศได้ เป็นต้น
“เทคโนโลยี AI ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการติดตามอาการแบบออนไลน์หรือ virtual care โดยให้ผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถติดตามอาการและดูแลผู้ป่วยระยะไกลได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทาง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเดินทางด้วย สิ่งที่น่าติดตามคือ จากผลสำรวจ Future Health Index 2022 พบว่า 1 ใน 4 ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุว่าการนำแนวทางสร้างความยั่งยืนของระบบสาธารณสุขมาปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน ฟิลิปส์ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับวงการเฮลท์แคร์ เรามุ่งมั่นต่อการรับผิดชอบต่อสังคม และทำให้การสร้างความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของเรา เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อโลกให้น้อยที่สุด โดยเราได้ประยุกต์หลักการด้านความยั่งยืน (sustainability) และการหมุนเวียน (circularity) มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นต่างๆ ของฟิลิปส์” นายวิโรจน์ กล่าวสรุป
แม้ว่าเราจะมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในระบบสาธารณสุขมากขึ้นแต่เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เทคโนโลยี AI นั้นจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้ใช้งานที่มีความเชี่ยวชาญ
No comments:
Post a Comment