จากการที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ให้นิยาม เศรษฐกิจสร้างสรรค์หรือ Creative Economy ว่า “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานการใช้องค์ความรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์งาน และการมีทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรมและการสั่งสมความรู้ของสังคมและเทคโนโลยีสมัยใหม่”
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์มีหลายมิติที่เชื่อมโยงกัน เป็นการนำองค์ความรู้ไปเพิ่มผลิตภาพให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ ซึ่งงานวิจัยจะเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่การยกระดับและสร้างโอกาสที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในระดับชุมชน โดยมีบางส่วนที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้ฉายภาพไว้ให้นำไปเป็นกรอบและทิศทางแนวโน้มที่ต้องการ โดย วช. ได้ให้ทุนวิจัยสนับสนุนเรื่องนี้มานานแล้วผ่านทางงานวิจัยเชิงพื้นที่มีการนำไปใช้ประโยชน์และส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจนถึงการนำไปใช้ประโยชน์จริง สามารถเป็นโมเดลที่ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ตัวอย่างของความร่วมมือในพื้นที่ การยกระดับกระบวนการผลิต การส่งเสริมความรู้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จนเกิดเป็นศูนย์เรียนรู้ทั่วประเทศกว่าร้อยแห่ง สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจพอเพียงและเศรษฐกิจ BCG ได้เป็นอย่างดี โดย วช. ได้ประเมินความสำเร็จของโครงการเหล่านี้จากรายได้ คุณภาพชีวิต การยกระดับ ความเข้มแข็งของชุมชน การช่วยลดมิติความเหลื่อมล้ำในสังคม การเกิดระบบเครือข่ายและมาตรฐานสินค้า และสิ่งที่ วช. มองไปข้างหน้า คือ ความยั่งยืน วช. จึงมีทุนวิจัยที่เรียกว่า “ทุน KM” เป็นทุนที่จะมอบให้นักวิจัยได้ทำงานในเชิงพื้นที่เพื่อให้มีการออกแบบโครงการร่วมกับชุมชน โดยขณะนี้ วช. ได้ให้ทุนแก่มหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 8 แห่ง มหาวิทยาลัยราชมงคล จำนวน 9 แห่ง และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สามารถพบกับโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างได้ในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2566
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อนตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การพัฒนาพื้นที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ได้มาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพราะทรัพยากรและงบประมาณที่ลงไปจะเหมือนกับถมทะเลทราย เปิดน้ำในทะเลทรายน้ำก็ซึมหาย ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยคิดเป็น 20 เท่า ติดอันดับสูงสุดของโลก ทำให้เกิดคำพูดที่ว่า “รวยกระจุกจนกระจาย” เพราะมุ่งเศรษฐกิจบนพื้นฐานของอุตสาหกรรม ซึ่งต่อไปจะต้องถูก Disrupt ทั้งจากปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ หากจะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเปลี่ยนมาเป็นโมเดลพัฒนาประเทศแบบไทย เราต้องการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่มีการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชน โดยฐานทุนที่ประเทศไทยมีความเข้มแข็งได้แก่ ฐานทุน BCG ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรพื้นถิ่น วัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์ โดยใช้กลไกความร่วมมือ กระบวนการวิจัยและกระบวนการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ ซึ่งมหาวิทยาลัยในพื้นที่จะมีบทบาททำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
วช. ขอเชิญผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรมใน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 : Thailand Research Expo 2023” ซึ่งมีประเด็นสำคัญในการจัดเสวนาที่น่าสนใจอีกหลายหัวข้อเรื่อง ตั้งแตวันนี้จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้ทุกท่านเป็นส่วนหนึ่งของการ “ขับเคลื่อนงานวิจัย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่สร้างไทยยั่งยืน”
No comments:
Post a Comment