ทั้งนี้ ซีแอลพี ได้ร่วมกับ บริษัท ไทวะ เซกิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Taiwa Seki Corporation Co.,Ltd.) ผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาเครื่องสีข้าวใหม่ 3 รุ่น โดดเด่นด้วยระบบการสีข้าวคุณภาพแบรนด์เดียวในไทย ที่ตอบสนองทุกความต้องการของเกษตรกรยุค 4.0 ทั้งรุ่นเล็กสำหรับในครัวเรือน เครื่องสีข้าวซีแอลพี รุ่น CR-150 ECO น้ำหนักตัวเครื่อง 45 กิโลกรัม และเครื่องสีข้าวซีแอลพี รุ่น CR-150 ECO Dual Function น้ำหนักตัวเครื่อง 65 กิโลกรัม ที่สามารถทำการขัดสีข้าวเปลือกได้มากถึง 150 กิโลกรัมต่อ 1 ชั่วโมง ด้วยขนาด 3 แรงม้า ความเร็วรอบ 2,800 รอบต่อนาที โดยมีโครงสร้างของเครื่องสีข้าวทำจากเหล็กชั้นดี แข็งแรง ทนทาน เป็นระบบกะเทาะและขัดขาวแบบแกนเหล็ก (เกลียว) ไม่มีลูกยางและลูกหิน
เครื่องสีข้าวทั้งสองรุ่นนี้ มีระบบห้องแยกรำหยาบแบบลมดูด พร้อมมีระบบปรับความขาวข้าวเป็นสปริงปรับแรงดัน 8 ระดับ และมีช่องใส่ข้าวเปลือก สามารถบรรจุข้าวเปลือกได้ 15 กิโลกรัม และสามารถแยกข้าวปลายออกจากข้าวที่สีแล้วได้ โดยตัวเครื่องเป็นระบบส่งกำลังด้วยสายพานอย่างดี ซึ่งสินค้ามีการรับประกันตัวเครื่องนาน 5 ปี โดย เครื่องสีข้าวซีแอลพี รุ่น CR-150 ECO ขายในราคา 14,900 บาท และ เครื่องสีข้าว ซีแอลพี รุ่น CR-150 ECO Dual Function ขายในราคา 19,500 บาท โดยรุ่นนี้มาพร้อมเครื่องบดในตัวเดียวกัน ที่สามารถปรับความละเอียดการบดโดยการเปลี่ยนเบอร์ ตะแกรงอีกด้วย
สำหรับเครื่องสีข้าวรุ่นใหญ่ เครื่องสีข้าว ซีแอลพี รุ่น CMF-201 ที่เหมาะสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือในอุตสาหกรรมการผลิตข้าวสาร มีระบบการทำงานครบจบทุกขั้นตอน ทั้งทำความสะอาดข้าวเปลือก กะเทาะข้าวเปลือก ขัดสี และคัดแยกขนาดข้าวสาร สามารถทำการขัดสีข้าวได้มากถึง 200 กิโลกรัมข้าวเปลือกต่อ 1 ชั่วโมง และสามารถผลิตได้ทั้งข้าวกล้องและข้าวขาว สามารถปรับระดับความขาวได้ โดยการสีเพียงรอบเดียว ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรได้เป็นอย่างดี มีราคาขายอยู่ที่ 340,000 บาท
นายมานพ ลี้โกมลชัย กล่าวต่ออีกว่า ในตลาดอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในภาคเกษตร เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นมาก ไม่ว่าจะในขั้นตอนการผลิต แปรรูป หรือการต่อยอดการขาย และด้วยนโยบายส่งเสริมการเกษตร 4.0 ที่จริงจังมากขึ้น ทั้งจากทางหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทำให้เกษตรกรเองมีความตื่นตัวมากขึ้น ที่จะปรับตัวตอบรับกับนโยบายและตลาดที่เปลี่ยนไป โดยได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ทั้งในแง่ของการผลิตและแปรรูป เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพที่ดีขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง และรวมถึงช่องทางการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้าง
จากปรากฏการณ์นี้ เราจะเห็นกลุ่มเกษตรกร 4.0 ทั่วประเทศ โดยกลุ่ม Smart Farmer จะมีบทบาทสำคัญในการพลิกวงการเกษตร โดยที่เปลี่ยนบทบาทจากเกษตรกรธรรมดา ให้กลายเป็นนักธุรกิจที่สามารถวางแผนการผลิต แปรรูป และขายสินค้าได้เอง ในส่วนของทิศทางตลาดอุตสาหกรรมเกษตรกรรมไทย ในปีนี้ ในแง่ของการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว มีการเติบโตที่ดีขึ้นจากปีก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยของสภาพอากาศและปริมาณนี้เอื้ออำนวยทำให้ได้ผลผลิตมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ในแง่ของราคานั้น เนื่องจากมีผลผลิตมากในบางสินค้า อาจจะส่งผลกระทบบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังถือว่า ตลาดการผลิตนั้นมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว และในส่วนของตลาดส่งออกนั้น ยังมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะข้าว ที่มีความต้องการสูงขึ้นจากต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
นายมานพ ลี้โกมลชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้า โดยศึกษาจากช่องทางที่ หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรื อศึกษาจากศูนย์เรียนรู้ ร้านค้า และตามงานแสดงสินค้าที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยการตอบสนองความต้องการในแง่ของข้อมูลที่ใช้ ในการประกอบการตัดสินใจก็มีเพิ่มมากขึ้น และยังมีการเพิ่มช่องทางการหาข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ก็ส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตต่างต้องปรับตัวและรุกทำการตลาดอย่างจริงจัง ในส่วนของ CLP เรามีช่องทางการสื่อสารให้เข้าถึงข้อมูลให้ได้ง่ายที่สุดในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทาง เว็บไซต์ เฟซบุ๊ค Line@ หรือคอลเซ็นเตอร์ และได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการในรูปแบบการสาธิตสินค้าที่เข้าใจง่ายที่สุดด้วยสื่อวีดีโอ และยังมีการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ เรายังเสริมความประทับใจให้กับลูกค้าของเราโดยมี บริการ On-site Service ที่จะช่วยให้ลูกค้าอุ่นใจตลอดอายุการใช้งาน ทั้งนี้เพื่อให้เราเป็นที่ 1 ในใจลูกค้าในยุคที่ข้อมูลข่าวสารและความจริงใจเป็นเรื่องที่ สำคัญที่สุด เราจึงมุ่งเน้นการ สร้างการรับรู้ เข้าถึงข้อมูลให้ง่ายที่สุด และการสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเรื่องที่สำคัญ
“จากการขยายของกลุ่มเกษตรกร Smart Farmer และนโยบายส่งเสริมการเกษตรที่พึ่งพาตัวเอง ทำให้แนวโน้มของการขยายเครื่องสีข้าวในประเทศไทยดีขึ้น โดยคาดว่า ในระยะ 2-5 ปีนี้ ตลาดจะโตขึ้นโดยประมาณ 2-3 เท่า และนอกเหนือจากประเทศไทยแล้ว เรายังเตรียมบุกตลาดในกลุ่ม AEC และ Africa เพื่อเพิ่มโอกาสการขยายอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยกลุ่มลูกค้าหลักเรามุ่งเน้นไปที่กลุ่มเกษตรกรขนาดเล็ก ที่สีข้าวบริโภคเองเป็นหลักสัดส่วน50% รองลงมาจะเป็นกลุ่มเกษตรกรขนาดเล็ก-กลาง ที่สีข้าวเพื่อบริโภคเองและขายในปริมาณไม่มาก สัดส่วน 30% และสุดท้ายคือกลุ่มเกษตรกรที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้และธุรกิจจากข้าว แบ่งสัดส่วนเป็น 20% โดยเราเปิดตลาดเครื่องสีข้าวในปี 2561 นี้ประมาณ 4,000 เครื่อง หรือมูลค่าประมาณ 120 ล้านบาท” นายมานพ ลี้โกมลชัย กล่าวปิดท้าย
No comments:
Post a Comment