บ้านปางยาง อ.ปัว จ.น่าน มีชนเผ่าลัวะ 61 ครัวเรือน 279 คน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำย่างของแม่น้ำน่าน ที่หล่อเลี้ยงประชากร พื้นที่ 2 อำเภอ คือ ปัวและท่าวังผา ซึ่งอยู่ห่างไกลทุรกันดาร การเข้าถึงบริการพื้นฐานของภาครัฐยากลำบาก มีอาชีพปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปลูกข้าวไร่หมุนเวียนแต่มีรายได้น้อย ชาวบ้านมีฐานะยากจน ขาดความรู้และทางเลือกในการประกอบอาชีพ ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อให้มีรายได้พอใช้จ่ายในครัวเรือน ในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกยังคงใช้ไฟเผาช่วยด้วยซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ใช้แรงงานคนน้อย ประกอบกับใช้สารเคมีมาก เพื่อช่วยในการกำจัดวัชพืชและเศษวัสดุจากการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า
นายพจน์ อินปา เกษตรกรผู้นำในโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงปางยาง อ.ปัว จ.น่าน กล่าวว่า เมื่อก่อนบ้านปางยาง มีการปลูกข้าวไร่เพื่อบริโภคในครัวเรือน โดยมีการทำไร่หมุนเวียน 5 รอบการหมุนเวียน ซึ่ง 1 ครัวเรือนจะใช้พื้นที่อย่างน้อย 10 ไร่ เพื่อปลูกข้าวไร่ให้เพียงพอต่อการบริโภคทั้งปี และรายได้หลักมาจากการประกอบอาชีพภาคเกษตรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การปลูกข้าวโพดในพื้นที่บ้านปางยางนั้นเป็นพื้นที่ลาดชันจึงทำให้ผลผลิตข้าวโพดน้อยเกษตรกรจึงมีการถางป่าเพื่อปลูกข้าวโพดมากขึ้น 1 ครัวเรือนจะใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพด 50 ไร่จึงจะเพียงพอต่อรายได้ เนื่องจากปัจจุบันประสบปัญหาราคาข้าวโพดตกต่ำ ต่อมา สวพส. เข้าดำเนินงานในพื้นที่และนำองค์ความรู้โครงการหลวงเข้ามาเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไร่ ปรับเปลี่ยนมาปลูกข้าวนาขั้นบันไดจึงทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มมากขึ้นและทำในพื้นที่นาได้ตลอดทั้งปีจึงไม่จำเป็นต้องไปทำไร่หมุนเวียนเพื่อปลูกข้าวไร่อีก และยังมีการส่งเสริมการปลูกอะโวคาโดเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว จากการปลูกอาโวคาโดในพื้นที่ 4 ไร่ 256 ต้น มีรายได้ 180,000 บาทต่อปี นอกจากไม้ผลแล้วยังมีรายได้จากการทำพืชในโรงเรือน ปลูกพริกหวาน มะเขือเทศเชอรี่ และผักกาดขาวปลีเพื่อหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี ทำให้มีรายได้จากการทำพืชในโรงเรือน 300,000 บาทต่อปี ซึ่งใช้พื้นที่เพียง 1 ไร่ จึงทำให้ลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง
No comments:
Post a Comment