ส่องปัญหากฎหมายบุหรี่ไทยในวันงดสูบบุหรี่โลก มาตรการแบบ “หวังผล” หรือ ‘หวังหน้า’ - The Siamese

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Friday, May 30, 2025

ส่องปัญหากฎหมายบุหรี่ไทยในวันงดสูบบุหรี่โลก มาตรการแบบ “หวังผล” หรือ ‘หวังหน้า’

 


คณะรัฐมนตรีเพิ่งมีมติเพิ่มงบประมาณเพื่อจ่ายค่าบำรุงให้องค์การอนามัยโลก (WHO) สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2574 โดยเริ่มจากเพิ่มขึ้น 20% และไต่ระดับไปจนถึง 27% ในปีท้ายสุด สวนทางภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ค่าครองชีพพุ่ง ภาษีเพิ่ม สินค้าแพง และประชาชนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาปากท้อง ในขณะที่หลายๆ ประเทศกำลังเรียกร้องให้ WHO ปฏิรูปและทบทวนบทบาทของตัวเองในฐานะองค์กรสุขภาพเพื่อปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสังคมโลกยุคใหม่มากขึ้น ภายหลังที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกเมื่อต้นปี 2568 และหยุดจ่ายเงินบำรุงให้กับ WHO



คำถามคือประเทศไทยได้อะไรจากการตัดสินใจเพิ่มงบบำรุง WHO สุขภาพคนไทยจะดีขึ้นไหม? หรือแค่ต้องการคำชื่นชมจากเวทีนานาชาติ หรือว่านี่เป็นเพียงการ “เน้นคำชื่นชม” ไม่เน้น “ผลลัพธ์” อย่างแท้จริง?


หากมองจากผลงานที่ผ่านมา เราคงต้องตั้งคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะแม้ไทยจะดำเนินนโยบายด้านสุขภาพตามคำแนะนำของ WHO อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด มีการออกกกฎหมายที่เพิ่มความเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การห้ามโฆษณา การกำหนดรูปแบบซองบุหรี่ การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต และห้ามการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด แต่กลับไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม

คำตอบน่าจะชัดเจนจาก “วันงดสูบบุหรี่โลก” ซึ่ง WHO กำหนดไว้ในวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี ตั้งแต่ปี 2531 โดยมีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้คนทั่วโลกร่วมกันเลิกสูบบุหรี่ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรโลกอย่างยั่งยืน และประเทศไทยเองร่วมรณรงค์วันงดสูบบุหรี่มาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

แต่ถ้าเรามองผลลัพธ์ในประเทศไทย ยิ่งสะท้อนความล้มเหลวชัดเจน แม้จะปฏิบัติตามแนวทางของ WHO มาโดยตลอด ตัวเลขผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยในปี 2567 จากการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติกลับยังสูงถึง 9.77 ล้านคน (หรือร้อยละ 16.5 ของของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป) เมื่อเทียบกับการสำรวจเมื่อปี 2564 ซึ่งมีผู้สูบบุหรี่อยู่ที่ 9.9 ล้านคน เท่ากับว่างบประมาณและทรัพยากรที่ทุ่มเทลงไปตลอดสามปีนั้น ไม่ได้เป็นมรรคเป็นผลอย่างมีนัยสำคัญเลย

หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนความล้มเหลวของของแนวทางควบคุมยาสูบในไทยคือการโครงสร้างภาษีแบบสองอัตราที่กำหนดอัตราภาษีสูงจนเกินไป ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมบุหรี่ เพราะทำให้บุหรี่ราคาถูกเนื่องจากเสียภาษีอัตราที่ถูกกว่าอัตราบน ขณะที่อัตราภาษีสำหรับยาเส้นกลับมีอัตราที่ต่ำมาก การจัดเก็บภาษีบุหรี่จึงไม่สามารถจูงใจให้คนเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้สูบบุหรี่เพียงแค่หันไปบริโภคสินค้าอื่น เช่น บุหรี่เถื่อน หรือยาเส้นแทน ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนได้

แม้จะมีการศึกษาและข้อเสนอแนะของหลายหน่วยงานราชการและสถาบันการศึกษาที่เสนอให้ปรับโครงสร้างภาษียาสูบให้เป็นระบบอัตราเดียว เพื่อให้สามารถลดจำนวนผู้สูบและเพิ่มรายได้รัฐจากภาษีได้จริง แต่ผ่านมากว่า 8 ปีตั้งแต่การใช้โครงสร้างแบบนี้เมื่อปี 2560 แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ ที่จะทำให้ระบบภาษีสรรพสามิตยาสูบไทยเข้าใกล้มาตรฐานสากล

อีกตัวอย่างหนึ่งคือกรณี “ห้องสูบบุหรี่” ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เราได้เห็นแต่หมอและเครือข่ายเอ็นจีโอที่คัดค้านแนวคิดนี้  ขณะที่ความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในโลกออนไลน์เห็นด้วยกับการมีพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้สูบ เพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่น เป็นการเคารพสิทธิผู้สูบบุหรี่และผู้ไม่สูบบุหรี่ซึ่งกันและกันมากขึ้น และช่วยจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะให้เรียบร้อย ดังเช่นสนามบินชั้นนำทั่วโลกเข้าทำกัน

รวมไปถึงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมาย และกำลังปัญหาที่กำลังเติบโตอย่างเงียบๆ แพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 13–15 ปี ที่มีการใช้เพิ่มขึ้นจาก 3.35% ในปี 2558 เป็น 17.6% ในปี 2565 และในกรุงเทพฯ มีการใช้สูงถึง 32.3% ในกลุ่มเยาวชน แต่เรายังไม่มีกฎหมายที่สามารถบังคับใช้และควบคุมได้อย่างเด็ดขาด แต่เลือกใช้วิธีการ “แบนแบบเบ็ดเสร็จ” แต่ปล่อยให้ตลาดใต้ดินมีการลักลอบซื้อขายกันได้อย่างเสรี

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การกำหนดนโยบายควบคุมบุหรี่ในไทย อาจไม่ได้เข้าใจบริบทของสังคมหรือรับฟังเสียงของผู้บริโภคอย่างแท้จริง แต่มองเรื่องนี้ผ่านเลนส์ของ “หลักการ” มากกว่า “การแก้ปัญหาให้ตรงจุด” เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายไทยที่ใช้อยู่ตอนนี้ “ล้าหลัง” และขาดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ นโยบายของ WHO ที่เราเชื่อฟังมาตลอด ไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคได้ทันสมัยพอ

ในวันที่รัฐยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนต่อการคุมบุหรี่ไฟฟ้า การแก้ปัญหาอัตราภาษี หรือการแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน การเพิ่มงบสนับสนุน WHO โดยไม่มีเงื่อนไขก็เหมือนการ “จ่ายเงินซื้อคำชื่นชม” แต่ลืมไปว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการคือ “ผลลัพธ์” และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่แค่คำชมจากเวทีระหว่างประเทศ


No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad

Pages