ภาพรวมช่วงเดือนม.ค.- ต.ค. ปี 2563 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 192,372 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -7.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 5,987,376 ล้านบาท หดตัว -7.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 169,702 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -14.61 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า 5,350,086 ล้านบาท หดตัว -14.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ช่วงเดือน ม.ค.- ต.ค. 2563 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 22,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 637,290 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำและน้ำมันน้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย เดือนม.ค. – ต.ค. การส่งออกขยายตัวร้อยละ -8.47)
การส่งออกในเดือนตุลาคม กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวที่ -8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดย สินค้าที่ขยายตัวได้ดีอยู่ คือ น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์เลี้ยง ยางพารา สิ่งปรุงรสอาหาร ผักผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป แต่สินค้ากลุ่มที่หดตัว คือ น้ำตาลทราย ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขณะที่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวที่ -4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดย กลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขณะที่สินค้ากลุ่มที่หดตัว อาทิ ทองคำ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เป็นต้น
ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2564 ได้แก่ 1) ค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จากการแข็งค่าตามทิศทางของสกุลเงินในเอเชีย ส่วนหนึ่งจากชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ของนายโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครตที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินมากถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบกับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้และตราสารทุนของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มาก (emerging market) 2) ปัญหาตู้สินค้าขาดแคลน และค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก 2.1) สายเรือมีนโยบายจัดสรรระวางตู้สินค้า (Space Allocation) และจัดสรรตู้เปล่าหมุนเวียน (Container Allocation) กลับไปยังประเทศจีนและเวียดนามมาก เนื่องจากให้อัตราค่าระวางที่สูงกว่าไทย 2.2) การระบาดของ COVID-19 รอบ 2 ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้ตู้สินค้าตกค้างที่ปลายทางเป็นจำนวนมาก ต่อเนื่องให้ปริมาณตู้สินค้าที่ต้องหมุนเวียนกลับสู่ระบบหายไปจำนวนมาก ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงให้อัตราค่าระวางที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3) การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และผลจากการบังคับใช้ความตกลง EVFTA เป็นปัจจัยดึงดูดการย้ายฐานการผลิตเพื่อการกระจายความเสี่ยงหลังจากนานาประเทศประสบปัญหาไม่สามารถผลิตสินค้าได้ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 จากการพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน รวมถึงการเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศไทยในการส่งออกกลุ่มสินค้า อาทิ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม สินค้าประมง 4) ต้นทุนแฝงในการประกอบธุรกิจของผู้ส่งออกที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากกฎระเบียบของไทยที่มีความล้าหลัง รวมถึงมีขั้นตอนดำเนินงานที่ไม่จำเป็นที่ค่อนข้างมาก ทำให้ต้นทุนในการประกอบธุรกิจค่อนข้างสูง ทั้งด้านโลจิสติกส์ ค่าธรรมเนียมตั้งแต่ขั้นตอนการตั้งโรงงาน การผลิต ส่งออก ภาครัฐ และธนาคาร เป็นต้น ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนที่สูงเกินไป ซึ่งเป็นการบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก และ 5) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ที่อาจมีการเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปี 2564 อาทิ มาตรการ Carbon Border Adjustment Taxation เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยคาร์บอนในทุกกระบวนการธุรกิจ รวมถึงหลักเกณฑ์มาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ที่เข้มงวดมากขึ้น ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเพื่อกระตุ้นการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกไทยในอนาคต
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้
1. เร่งแก้ไขสถานการณ์ขาดแคลนตู้สินค้าและการปรับขึ้นค่าระวางทุกเส้นทาง
1.1 ข้อเสนอระยะสั้น 1.1.1) ขอให้สายเรือคงอัตราค่า Local Charge เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการไทย 1.1.2) ภาครัฐควรพิจารณามาตรการจูงใจให้สายเรือนำตู้เปล่ามายังประเทศไทย เช่น การยกเว้นค่ายกขนตู้เปล่ากลับมาประเทศไทย การยกเว้นค่าภาระท่าเรือให้กับเรือขนส่งสินค้าเป็นการชั่วคราว เป็นต้น 1.1.3) ขอให้ภาครัฐเจรจาในระดับประเทศเพื่อหาแนวทางส่งตู้ส่วนเกินในประเทศที่มีการนำเข้ามากกว่าส่งออก กลับมาให้ประเทศไทย
1.2 ข้อเสนอระยะยาว 1.2.1) รวมกลุ่มผู้ประกอบการแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อเจรจา Service Contract ระยะยาวในแต่ละเส้นทางกับสายเรือ 1.2.2) ส่งเสริมอุตสาหกรรมซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย เพื่อให้มีปริมาณตู้หมุนเวียนมาในประเทศไทยมากขึ้น 1.2.3) เจรจาในระดับ RCEP เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งตู้สินค้าทางถนนไปยังประเทศจีน ทั้งสินค้าที่มีปลายทางที่จีน และสินค้าที่ต้องการขนส่งต่อไปยังยุโรปทางรถไฟ
2. ทิศทางค่าเงินบาทแข็งมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มส่งสัญญาณอ่อนค่า ขอให้ ธปท. เร่งรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทและใช้มาตรการทางการเงินเพื่อลดความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกทั่วไปใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
3. เร่งปรับปรุงโครงสร้างค่าธรรมเนียมเพื่อลดต้นทุนแฝงในการส่งออก ทั้งด้านการผลิต ด้านการส่งออก (การตลาด การขออนุญาตส่งออก/นำเข้าตามพิธีการศุลกากร) ด้านการเงินและภาษีอากร ด้านการขนส่งระหว่างประเทศ (เรือ ราง อากาศ รถ)) อันจะส่งผลกระทบและขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้งผู้ส่งออกและผู้ประกอบการตลอดทั้งซัพพลายเชน
4. เร่งพัฒนาระบบ NSW ของไทยให้เป็นระบบ Single Submission เพื่อเป็นการปรับลดขั้นตอนและระยะเวลาของพิธีการทางศุลกากร และจะต้องมีการจัดทำ Data Harmonization ใหม่ เพื่อรองรับการส่งข้อมูล ขาเข้า/ขาออก ณ จุดเดียว และเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาต/ใบรับรอง
การส่งออกในเดือนตุลาคม กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวที่ -8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดย สินค้าที่ขยายตัวได้ดีอยู่ คือ น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์เลี้ยง ยางพารา สิ่งปรุงรสอาหาร ผักผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป แต่สินค้ากลุ่มที่หดตัว คือ น้ำตาลทราย ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขณะที่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวที่ -4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดย กลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขณะที่สินค้ากลุ่มที่หดตัว อาทิ ทองคำ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เป็นต้น
ทั้งนี้ สรท. ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 หดตัวลดลงระหว่าง -7% ถึง -6% และคาดการณ์ ปี 2564 เติบโต 3-5% (ณ ธันวาคม 2563) โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญในปี 2564 คือ 1) ไทยร่วมลงนามไทยความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครอบคลุมตลาดที่มีประชากรรวมกันถึง 2.2 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็น 30% ของประชากรโลก GDP ครอบคลุมถึง 30% ของ GDP โลก และมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 10.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเกือบ 28% ของมูลค่าการค้าโลก ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้กับผู้ส่งออกด้วย ทั้งนี้ สรท. สนับสนุนการเจรจาในกรอบความตกลงใหม่ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับประเทศไทย 2) ความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จากหลายบริษัท อาทิ บริษัทโมเดอร์นา และบริษัทไฟเซอร์ที่ร่วมมือกับไบโอเอ็นเทค ซึ่งมีประสิทธิผลมากถึงร้อยละ 94.5 และ 90 ตามลำดับ เป็นปัจจัยเชิงบวกสำหรับการเจรจาการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมา 3) สินค้ากลุ่มอาหาร และกลุ่มเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อาทิ ถุงมือยาง และกลุ่มสินค้า work from home ยังมีมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในบางประเทศที่ยังไม่คลี่คลายเท่าที่ควร 4) ระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าปี 2563 เนื่องด้วยสัญญาณบวกจากความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก จะส่งผลให้มีอุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกในสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ พลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น และ 5) การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจของประเทศจีน เนื่องด้วยสถานการณ์การควบคุมการระบาดของโควิด-19 อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวและเป็นผลดีต่อการเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทย อาทิ กลุ่มสินค้ายางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เม็ดพลาสติก เป็นต้น
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้
1. เร่งแก้ไขสถานการณ์ขาดแคลนตู้สินค้าและการปรับขึ้นค่าระวางทุกเส้นทาง
1.1 ข้อเสนอระยะสั้น 1.1.1) ขอให้สายเรือคงอัตราค่า Local Charge เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการไทย 1.1.2) ภาครัฐควรพิจารณามาตรการจูงใจให้สายเรือนำตู้เปล่ามายังประเทศไทย เช่น การยกเว้นค่ายกขนตู้เปล่ากลับมาประเทศไทย การยกเว้นค่าภาระท่าเรือให้กับเรือขนส่งสินค้าเป็นการชั่วคราว เป็นต้น 1.1.3) ขอให้ภาครัฐเจรจาในระดับประเทศเพื่อหาแนวทางส่งตู้ส่วนเกินในประเทศที่มีการนำเข้ามากกว่าส่งออก กลับมาให้ประเทศไทย
1.2 ข้อเสนอระยะยาว 1.2.1) รวมกลุ่มผู้ประกอบการแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อเจรจา Service Contract ระยะยาวในแต่ละเส้นทางกับสายเรือ 1.2.2) ส่งเสริมอุตสาหกรรมซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย เพื่อให้มีปริมาณตู้หมุนเวียนมาในประเทศไทยมากขึ้น 1.2.3) เจรจาในระดับ RCEP เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งตู้สินค้าทางถนนไปยังประเทศจีน ทั้งสินค้าที่มีปลายทางที่จีน และสินค้าที่ต้องการขนส่งต่อไปยังยุโรปทางรถไฟ
2. ทิศทางค่าเงินบาทแข็งมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มส่งสัญญาณอ่อนค่า ขอให้ ธปท. เร่งรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทและใช้มาตรการทางการเงินเพื่อลดความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกทั่วไปใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
3. เร่งปรับปรุงโครงสร้างค่าธรรมเนียมเพื่อลดต้นทุนแฝงในการส่งออก ทั้งด้านการผลิต ด้านการส่งออก (การตลาด การขออนุญาตส่งออก/นำเข้าตามพิธีการศุลกากร) ด้านการเงินและภาษีอากร ด้านการขนส่งระหว่างประเทศ (เรือ ราง อากาศ รถ)) อันจะส่งผลกระทบและขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้งผู้ส่งออกและผู้ประกอบการตลอดทั้งซัพพลายเชน
4. เร่งพัฒนาระบบ NSW ของไทยให้เป็นระบบ Single Submission เพื่อเป็นการปรับลดขั้นตอนและระยะเวลาของพิธีการทางศุลกากร และจะต้องมีการจัดทำ Data Harmonization ใหม่ เพื่อรองรับการส่งข้อมูล ขาเข้า/ขาออก ณ จุดเดียว และเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาต/ใบรับรอง
No comments:
Post a Comment