ผู้ช่วย ผบ.ตร. ประกาศ “ Smart Safety Zone 4.0 ” เดินหน้าต่อตามเทรนด์โลก เน้นประชาชนมีส่วนร่วม ตั้งเป้า ปี 66 ลงท้องถิ่นทั่วไทย 1,480 สถานีสถานีตำรวจ ชี้การให้ประชาชนมีส่วนร่วม ผนวกเทคโนโลยี ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อทุกภาค กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดเวทีเสวนา “ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และสวัสดิภาพสาธารณะ ” ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565 (Thailand Research Expo 2022) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจห่งชาติ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ Smart Safety Zone 4.0 นวัตกรรมความปลอดภัย เพื่อการป้องกันอาชญากรรม ” ตามด้วยเวทีเสวนาของ ดร.สุเมธ องกิตติกุล มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, พันตำรวจเอกกัมพล รัตนประทีป รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ แตะกระโทก มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นผู้ดำเนินรายการ
ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องมีความต่อเนื่อง เช่น มีความสม่ำเสมอดูแลตัดกิ่งไม้ ใบหญ้าทุกเดือน ติดตั้งอุปกรณ์ไฟส่องสว่าง 500 ดวง ต่อปี ตีเส้นทางม้าลายและอื่น ๆ และในวันที่ 6 สิงหาคม ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเพิ่มแพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ช่องทางให้ประชาชนแจ้งเหตุ ร้องเรียน ซึ่งเป็นผลงานของ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มาใช้ร่วมกับโครงการ 1 Smart Safety Zone 4.0 ด้วย
“ โครงการ Smart Safety Zone 4.0 ของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรางวัลอันดับ 1 ของโลก The Best Experience in Community Policing ประเภทการป้องกันอาชญากรรมมาครอง ในการประชุมสุดยอดตํารวจโลก ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นชัยชนะเหนือหลายประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า เนื่องจากภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมากในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เทรนด์โลกคือ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในปีหน้า 2566 ขยายสู่ท้องถิ่นที่มีสถานีตำรวจทั่วประเทศอยู่ 1,484 สถานี เพื่อให้ประชาชนจับต้องได้ ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ได้นำภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยยึดหลัก Big6 ประกอบด้วย 1.ตำรวจ 2.ประชาชน 3.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4.ภาคธุรกิจ 5.หน่วยงานรัฐ 6.สื่อมวลชน และมอบกลไกการมีส่วนร่วมของความเป็นเจ้าของพื้นที่ช่วยกันดูแลเรื่องความปลอดภัย โดยยกพื้นที่ อ.เบตง เป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือของภาคประชาชน ตำรวจ อสม. อาสา ช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ และในการจะขยายไปทั่วประเทศ ยังได้รับความร่วมมือจะมีงบประมาณช่วยจากหลายส่วน ทั้งจากอปท. องค์กร ภาคประชาชนประมาณ 700-800 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตำรวจยังยกระดับการทำงานสู่ยุคดิจิทัล เป็นระบบราชการ 4.0 นำสู่ความทันสมัย ให้ประชาชนได้รับบริการดีขึ้น เช่น การแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ มีระบบการสืบค้น ระบบฐานข้อมูล ซึ่งเมื่อเชื่อมโยงกับกล้องระบบ AI ยังช่วยให้จับคนร้ายได้เร็วขึ้นและระวังเหตุจากการมีคนแปลกหน้าเข้าสู่พื้นที่ อีกทั้งยังมีการจัดตั้งห้องควบคุมส่วนกลาง (CCOC) ที่ดูแลระบบปฏิบัติการทั้งหมด “ โดยภาพรวมกล่าวได้ว่า “Smart Safety Zone 4.0” มุ่งหวังป้องกันความปลอดภัย มากกว่า นำการปราบปราม และนำกระบวนการทั้งหมดนี้เพื่อนำไปใช้กับในทุกพื้นที่ ผลที่ได้พบว่า การทำให้ประชาชนมีส่วนร่วม นำเทคโนโลยีมาช่วย โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ก่อให้เกิดความพึงพอใจและเกิดความเชื่อมั่นของประชาชนต่อทุกภาคส่วน ทั้งต่อตำรวจ องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนและภาครัฐ ”
ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เปิดเผยถึงเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับ smart & safe city ว่า.. การเป็นสมาร์ทซิตี้และเมืองที่ปลอดภัย Keyword อยู่ที่ต้องยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง และเทคโนโลยีเป็นตัวรอง โดย Smart & Safe City อาจไม่ได้หมายถึงจังหวัด แต่เป็นพื้นที่เทศบาล หรืออื่น ๆ เป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาหลายด้าน อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน การขนส่ง ความปลอดภัย เศรษฐกิจและการอยู่อาศัยสบาย ปลอดภัย และ Smart Safety Zone เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของ Smart City นั่นเอง
สำหรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่นำมาใช้ Smart & Safe City มีการออกแบบใช้เทคโนโลยีหลายอย่าง รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อค้นหา ตรวจสอบ , การสื่อสาร , การนำข้อมูลวิเคราะห์ ซึ่ง ดร.ภาสกร แนะว่า ต้องมีการบูรณาการข้อมูล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ และต้องฉลาดในการใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์อย่างเหมาะสม เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องหาวิธีการนำมาใช้ให้มีความยั่งยืน และที่สำคัญต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้นำ เพราะถ้าผู้นำไม่เอา Smart & Safe City จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยผลงานวิจัยเชิงนโยบาย ฉายให้เห็นภาพใหญ่ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนที่น่ากังวล โดยไทยมีอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อปี ส่วนใหญ่เกิดกับมอเตอร์ไซด์ ภาคีเครือข่ายที่รวบรวมข้อมูลปี 2554-2555 พบว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ยมากกว่า 60-70 รายต่อวัน และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ จึงคิดว่าจะต้องตั้งเป้าเพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตลง ตามหลักสากลจะต้องลดลง 50% ปี 2563 ที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ตัวเลขเสียชีวิตลดลง อยู่ที่ประมาณ 17,000 ราย เหตุจากมีการเดินทางลดลง ปี 2564 มีแนวโน้มเสียชีวิตประมาณ 17,000 ราย ส่วนปี 2565 นี้ มีแนวโน้มจะอยู่ที่ 17,000-18,000 ราย โดย 70-80% เป็นเพศชาย เพราะใช้รถใช้ถนนมากกว่าและมีพฤติกรรมเสี่ยง ที่น่ากังวลอีกอย่างคือ อัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนของกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15-25 ปี และกลุ่มคนทำงานเริ่มสูงเช่นกัน
ทั้งนี้ รถจักรยานยนต์ เป็นปัญหาท้าทายเพราะในไทยมีการใช้จักรยานยนต์จำนวน 14-15 ล้านคัน การเสียชีวิตส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย โดยในปี 62 พบว่าอัตราการสวมหมวกนิรภัยต่ำมากอยู่ที่ 45% การดื่มแอลกอฮอล์สัดส่วนการทำใบขับขี่ไม่สมดุลกับจำนวนรถ ซึ่งพบว่า มากกว่า 50% ไม่มีใบขับขี่ แสดงถึงการปล่อยปละละเลย ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยได้ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นอย่างเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
นอกจากนี้ ดร.สุเมธ ได้เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นของการจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนฉบับที่ 5 (2565-2570) ที่จะเริ่มใช้ในปีนี้ ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าจะลดจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลง ซึ่งจะสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ตั้งเป้าไว้ว่า ผู้เสียชีวิตจะต้องไม่เกิน 12 คนต่อ 1 แสนประชากรต่อปี และจะลดผู้บาดเจ็บสาหัสด้วย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200,000 รายต่อปี ซึ่งกรอบการดำเนินการตามแผนแม่บทมองว่า การจะลดจำนวนการเสียชีวิตและบาดเจ็บลงได้จะต้องเน้นที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น อายุระหว่าง 15-25 ปี เน้นเรื่องความเร็ว ต้องมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องและมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน
ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องมีความต่อเนื่อง เช่น มีความสม่ำเสมอดูแลตัดกิ่งไม้ ใบหญ้าทุกเดือน ติดตั้งอุปกรณ์ไฟส่องสว่าง 500 ดวง ต่อปี ตีเส้นทางม้าลายและอื่น ๆ และในวันที่ 6 สิงหาคม ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเพิ่มแพลตฟอร์มทราฟฟี่ ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ช่องทางให้ประชาชนแจ้งเหตุ ร้องเรียน ซึ่งเป็นผลงานของ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มาใช้ร่วมกับโครงการ 1 Smart Safety Zone 4.0 ด้วย
“ โครงการ Smart Safety Zone 4.0 ของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรางวัลอันดับ 1 ของโลก The Best Experience in Community Policing ประเภทการป้องกันอาชญากรรมมาครอง ในการประชุมสุดยอดตํารวจโลก ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นชัยชนะเหนือหลายประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า เนื่องจากภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมากในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เทรนด์โลกคือ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในปีหน้า 2566 ขยายสู่ท้องถิ่นที่มีสถานีตำรวจทั่วประเทศอยู่ 1,484 สถานี เพื่อให้ประชาชนจับต้องได้ ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ได้นำภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยยึดหลัก Big6 ประกอบด้วย 1.ตำรวจ 2.ประชาชน 3.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4.ภาคธุรกิจ 5.หน่วยงานรัฐ 6.สื่อมวลชน และมอบกลไกการมีส่วนร่วมของความเป็นเจ้าของพื้นที่ช่วยกันดูแลเรื่องความปลอดภัย โดยยกพื้นที่ อ.เบตง เป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือของภาคประชาชน ตำรวจ อสม. อาสา ช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ และในการจะขยายไปทั่วประเทศ ยังได้รับความร่วมมือจะมีงบประมาณช่วยจากหลายส่วน ทั้งจากอปท. องค์กร ภาคประชาชนประมาณ 700-800 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตำรวจยังยกระดับการทำงานสู่ยุคดิจิทัล เป็นระบบราชการ 4.0 นำสู่ความทันสมัย ให้ประชาชนได้รับบริการดีขึ้น เช่น การแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ มีระบบการสืบค้น ระบบฐานข้อมูล ซึ่งเมื่อเชื่อมโยงกับกล้องระบบ AI ยังช่วยให้จับคนร้ายได้เร็วขึ้นและระวังเหตุจากการมีคนแปลกหน้าเข้าสู่พื้นที่ อีกทั้งยังมีการจัดตั้งห้องควบคุมส่วนกลาง (CCOC) ที่ดูแลระบบปฏิบัติการทั้งหมด “ โดยภาพรวมกล่าวได้ว่า “Smart Safety Zone 4.0” มุ่งหวังป้องกันความปลอดภัย มากกว่า นำการปราบปราม และนำกระบวนการทั้งหมดนี้เพื่อนำไปใช้กับในทุกพื้นที่ ผลที่ได้พบว่า การทำให้ประชาชนมีส่วนร่วม นำเทคโนโลยีมาช่วย โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ก่อให้เกิดความพึงพอใจและเกิดความเชื่อมั่นของประชาชนต่อทุกภาคส่วน ทั้งต่อตำรวจ องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนและภาครัฐ ”
ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เปิดเผยถึงเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับ smart & safe city ว่า.. การเป็นสมาร์ทซิตี้และเมืองที่ปลอดภัย Keyword อยู่ที่ต้องยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง และเทคโนโลยีเป็นตัวรอง โดย Smart & Safe City อาจไม่ได้หมายถึงจังหวัด แต่เป็นพื้นที่เทศบาล หรืออื่น ๆ เป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาหลายด้าน อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน การขนส่ง ความปลอดภัย เศรษฐกิจและการอยู่อาศัยสบาย ปลอดภัย และ Smart Safety Zone เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของ Smart City นั่นเอง
สำหรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่นำมาใช้ Smart & Safe City มีการออกแบบใช้เทคโนโลยีหลายอย่าง รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อค้นหา ตรวจสอบ , การสื่อสาร , การนำข้อมูลวิเคราะห์ ซึ่ง ดร.ภาสกร แนะว่า ต้องมีการบูรณาการข้อมูล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ และต้องฉลาดในการใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์อย่างเหมาะสม เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องหาวิธีการนำมาใช้ให้มีความยั่งยืน และที่สำคัญต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้นำ เพราะถ้าผู้นำไม่เอา Smart & Safe City จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยผลงานวิจัยเชิงนโยบาย ฉายให้เห็นภาพใหญ่ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนที่น่ากังวล โดยไทยมีอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อปี ส่วนใหญ่เกิดกับมอเตอร์ไซด์ ภาคีเครือข่ายที่รวบรวมข้อมูลปี 2554-2555 พบว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ยมากกว่า 60-70 รายต่อวัน และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ จึงคิดว่าจะต้องตั้งเป้าเพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตลง ตามหลักสากลจะต้องลดลง 50% ปี 2563 ที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ตัวเลขเสียชีวิตลดลง อยู่ที่ประมาณ 17,000 ราย เหตุจากมีการเดินทางลดลง ปี 2564 มีแนวโน้มเสียชีวิตประมาณ 17,000 ราย ส่วนปี 2565 นี้ มีแนวโน้มจะอยู่ที่ 17,000-18,000 ราย โดย 70-80% เป็นเพศชาย เพราะใช้รถใช้ถนนมากกว่าและมีพฤติกรรมเสี่ยง ที่น่ากังวลอีกอย่างคือ อัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนของกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15-25 ปี และกลุ่มคนทำงานเริ่มสูงเช่นกัน
ทั้งนี้ รถจักรยานยนต์ เป็นปัญหาท้าทายเพราะในไทยมีการใช้จักรยานยนต์จำนวน 14-15 ล้านคัน การเสียชีวิตส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย โดยในปี 62 พบว่าอัตราการสวมหมวกนิรภัยต่ำมากอยู่ที่ 45% การดื่มแอลกอฮอล์สัดส่วนการทำใบขับขี่ไม่สมดุลกับจำนวนรถ ซึ่งพบว่า มากกว่า 50% ไม่มีใบขับขี่ แสดงถึงการปล่อยปละละเลย ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยได้ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นอย่างเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
นอกจากนี้ ดร.สุเมธ ได้เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นของการจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนฉบับที่ 5 (2565-2570) ที่จะเริ่มใช้ในปีนี้ ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าจะลดจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลง ซึ่งจะสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ตั้งเป้าไว้ว่า ผู้เสียชีวิตจะต้องไม่เกิน 12 คนต่อ 1 แสนประชากรต่อปี และจะลดผู้บาดเจ็บสาหัสด้วย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200,000 รายต่อปี ซึ่งกรอบการดำเนินการตามแผนแม่บทมองว่า การจะลดจำนวนการเสียชีวิตและบาดเจ็บลงได้จะต้องเน้นที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น อายุระหว่าง 15-25 ปี เน้นเรื่องความเร็ว ต้องมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องและมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน
No comments:
Post a Comment