ในปัจจุบันปัญหา PM2.5 ส่งผลไม่ใช่แค่เฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ แต่ยังแพร่ไปยังหลาย ๆ จังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยมลภาวะทางอากาศนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่าปัญหามลภาวะทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเสียชีวิตประชากรที่เสียชีวิตในโลก
ปัญหามลพิษทางอากาศที่พบบ่อยเป็นลักษณะแบบ Particulate matter (PM) ซึ่งเป็นฝุ่นละอองที่มีทั้งของเหลวและของแข็ง ซึ่งเป็นโลหะพิษ (toxic compound) และสารประกอบไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon) โดยขนาดฝุ่นละอองที่มีขนาด 2.5 – 5 μm หรือ PM 2.5 นั้นจะสามารถลงไปจะสามารถลงไปจนถึงหลอดลมฝอย (respiratory bronchiole) และถุงลม (alveoli) ได้ โดยซึ่งมักเกิดสาเหตุการเผาไหม้ในที่โล่งในทางเกษตรกรรม การเผาไหม้น้ำมันดิบ ไอเสียรถยนต์ดีเซล การเผาไหม้ในเตาเผาครัวเรือนฝุ่นเหล่านี้ จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคัดจมูก แสบตา เจ็บคอ จาม จนไปถึงหลอดลมมีอาการอักเสบได้
นอกจากนี้ฝุ่นละอองกับการเกิดโรคมะเร็ง ฝุ่น PM 2.5 มีความเป็นพิษต่อยีน (genotoxic) โดยตรงทำให้สารพันธุกรรมเสียหาย (DNA damage) โดยสัมพันธ์กับการก่อให้เกิดมะเร็งปอด ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่สูบบุหรี่ แต่อยู่กับมลภาวะ PM 2.5 จะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคนทั่วไปถึง 1.4 เท่าโดยวิธีที่จะป้องกันตัวเรา
จากสภาวะนี้แนะนำให้งดกิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อมีคำเตือนและอยู่ภายในบ้านหรือในอาคารให้มากขึ้น แต่ถ้าจำเป็นต้องออกไปในที่โล่งแจ้งจริง ๆ ควรใส่หน้ากากสำหรับป้องกันฝุ่น PM 2.5 อีกทั้งยังควรงดออกกำลังกายหรือออกแรงในที่ ๆ มีฝุ่นมาก และหากมีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการระคายเคืองบริเวณทางเดินหายใจ แสบจมูก แสบคอ หายใจไม่สะดวก เหนื่อยง่ายหรือไอ ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที นอกจากนี้ยังแนะนำการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฝุ่นPM 2.5 และปฏิบัติตามคำแนะนำเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในช่วงเวลาที่เกิดปัญหามลพิษทางอากาศมาก ๆ สำหรับผู้ป่วยท่านใดที่ต้องการจะปรึกษาด้านการผ่าตัดมะเร็งปอดสามารถเข้ารับการปรึกษาได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “ผ่าตัดปอด” หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ lineofficial : @lungsurgeryth
No comments:
Post a Comment